Thursday, October 30, 2008

มังสวิรัติลดภาวะโลกร้อน เรื่องจริงที่มนุษย์ควรรู้

http://thelinguist.blogs.com/how_to_learn_english_and/2007/07/the-linguist-me.html
อาหารมังสวิรัติอาจดูห่างไกลกับเรื่องของภาวะโลกร้อน แต่ย้อนกลับไปกระบวน การผลิต เมื่อเราบริโภคอาหารที่ปลอด เนื้อสัตว์จะช่วยทำให้โลกเย็นลง จากรายงานของสหประชาชาติระบุว่าการรับประทานเนื้อสัตว์เป็นสาเหตุสำคัญทำให้ เกิดภาวะโลกร้อนนั้นเพราะเกิดแรงผลักดันสำคัญ ของการตัดไม้ทำลายป่า มีตัวเลขออกมาว่ามากกว่า 70% ของป่าอะเมซอนถูกโค่นลงเพื่อทำทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ การผลิตปศุสัตว์ผลิตก๊าซเรือนกระจกมากกว่าการขนส่งทั่วโลก มูลสัตว์จำนวนมากเป็นแหล่งที่มาของก๊าซมีเทนจำนวนมหาศาล และก๊าซมีเทนทำให้เกิดภาวะโลกร้อนได้มากกว่าก๊าซคาร์ บอนไดออกไซด์ถึง 21 เท่า นอกจากนี้ยังพบว่าวัวผายลม หรือแม้ กระทั่งเรอออกมายังปล่อยก๊าซมีเทนสู่โลก

เนื่องจากก๊าซมีเทนส่ง ผลให้โลกร้อน รายการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม สุพรีมมาสเตอร์ (http://www.suprememastertv.com/) สถานีที่เน้นรายการสร้างสรรค์ และแรงบันดาลใจให้กับมนุษย์ ได้จัดสัมมนาทางไกลผ่านดาวเทียม ณ สถาบันเอไอที (Asian Institute of Technology) เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยร่วมสนทนาพูดคุยกับ อนุตราจารย์ชิงไห่ นักมนุษยธรรมชาวเวียดนาม ศิลปิน และครูทางจิตวิญญาณที่มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วโลก เธอสนใจศึกษาศาสตร์ของศาสนาพุทธฉบับมหายาน และเป็นบุคคลที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ชื่อดังของโลก ในช่วงปีที่ผ่านมา อนุตราจารย์ชิงไห่ ศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับปัญหาโลกร้อนเพื่อให้การเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน เธอจึงใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวในการจัดทำรายการโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ โดยออกอากาศฟรีทางช่องสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย. 2550 ที่ผ่านมา ด้วยหวังจะเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้คนหันมาเห็นความสำคัญของภาวะโลกร้อนภายใต้แนวทางอันโดดเด่นของเธอคือการเลือกบริโภคมังสวิรัติ

อนุตราจารย์ชิงไห่ กล่าวในวันสนทนาทางไกลในวันนั้นว่า การรับประทานเนื้อสัตว์เป็นสาเหตุของโรคร้ายของมนุษย์ แม้แต่นมยังเป็นสาเหตุมากมาย คัมภีร์ในศาสนายังแนะนำให้คนเราไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ปริมาณถั่วเหลืองที่ผลิตได้ 15 เปอร์เซ็นต์ของโลกต้องนำไปเลี้ยงสัตว์ แทนที่จะเหลือไว้ให้ผู้คนบริโภค ทั้งนี้การไม่รับประทานเนื้อสัตว์ทำให้หยุดการฆ่าทั่วโลก ทำให้สุขภาพดีขึ้น ที่สำคัญทำให้เรารักษาโลกใบนี้ไว้ได้โดย ทางอ้อม “ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นจากที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เรายังไม่เห็นผลกระทบที่มากมายเพียงครั้งเดียว ถ้าเรายังไม่ทำอะไรเลยผลที่แย่กว่านั้นจะตามมา ภายใน 4 ปีถ้าเราไม่ทำอะไรเลยผลแห่งกรรมที่เราทำไว้ก็จะเกิดขึ้น ไม่มีใครอยู่รอด ผลของภาวะโลกร้อนเกิดจากกฎของจักรวาล ทำอะไรก็จะได้ตามนั้น” อนุตราจารย์ชิงไห่ระบุ

นอกจากนี้ในงานสนทนาทางไกลผ่านดาวเทียม ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา อดีตนักวิทยาศาสตร์นาซา และผู้เชี่ยวชาญเรื่องโลกร้อน เข้าร่วมสนทนาทางไกลนี้ด้วย บอกเล่าให้ฟังถึงปรากฏการณ์บริโภคเนื้อสัตว์ว่า เมื่อพิจารณาความยืนยาวของชีวิต ชาวเอสกิโมซึ่งกินเนื้อและไขมันจำนวนมาก มีอายุเฉลี่ยประมาณ 27 ปี ขณะที่ชาวหันสาซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัย อยู่ในปากีสถาน กินเมล็ดธัญพืช อาหารสด ผลไม้และผัก มีอายุยืนยาวถึง 110 ปี นอกจากนี้มีตัวเลขเปรียบเทียบระหว่างการบริโภคอาหารมังสวิรัติและเนื้อสัตว์ให้ฟังว่า หากเทียบสัดส่วนระหว่างนมถั่วเหลืองจำนวน 100 กรัมกับนมวัว ปริมาณของโปรตีนที่ได้จากนมถั่วเหลืองให้มากกว่าถึง 41 กรัม ขณะที่นมวัวได้ 26 กรัม ระหว่างการใช้พื้นที่ผลิตโปรตีนในปริมาณเท่า ๆ กัน การทำปศุสัตว์ใช้พื้นที่ถึง 17 เท่าเมื่อเทียบกับการปลูกถั่วเหลือง รวมทั้งน้ำที่ใช้ต้องใช้มากกว่าในการเลี้ยงสัตว์ด้วยเมล็ดพืชแล้วย้อนกลับมาเป็นโปรตีนในสัตว์ที่มนุษย์จะได้กลับคืนมา จะมีโปรตีนต่ำมากแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ของโปรตีนและพลังงานของอาหารทั้งหมดที่เอาไปเลี้ยงสัตว์ และเปลี่ยนสภาพมาเป็นเนื้อสัตว์

“80-90 เปอร์เซ็นต์ของเมล็ดธัญพืชจะถูกนำไป เลี้ยงสัตว์ นับเป็นการสูญเสียอย่างหนึ่ง เพราะเราได้คืนแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ยกตัวอย่างโดยเฉลี่ยคนอเมริกันกินเนื้อ 129 ปอนด์ต่อ 1 ปีในเวลานี้ ถ้าลดการกินเนื้อลงครึ่งหนึ่ง อาหารจะมีเพียงพอสำหรับประชากรของประเทศกำลังพัฒนา” คนไทยผู้เชี่ยวชาญเรื่องโลกร้อนบอกเล่า เรื่องของภาวะโลกร้อนอาจนำวิกฤติมาสู่โลกแต่ขณะเดียวกัน บางแง่มุมยังมีโอกาสอย่างใดอย่างหนึ่งซุกซ่อนอยู่หากมีการปรับวิถีการกินใหม่ทั้งโลก แน่นอนช่วยลดโลกร้อนได้ ผลที่ตามมายังช่วยเรื่องสุขภาพและที่สำคัญเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ขาดแคลนอาหารด้วย ดังคำกล่าวของมหาตมะคานธีที่ว่า โลกนี้เพียงพอสำหรับความต้องการของทุกคน แต่ไม่เคยเพียงพอสำหรับความโลภของผู้คน.

พรประไพ เสือเขียว

No comments: