Tuesday, April 7, 2009

กลอนเพราะ ๆ

พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา

“กรมสมเด็จพระมหาสมณเจ้าปรมานุชิตชิโนรส”

Saturday, February 7, 2009

พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอิม



พระโพธิสัตว์โปรด
พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอิม

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาผู้คนในโลกนี้ชอบกินเนื้อผู้อ่อนแอกว่า คนชอบแก่งแย่งกัน สัตว์เดรัจฉานก็เช่นเดียวกัน เนื่องจากคนไม่ยอมปล่อยสัตว์ กินเลือดกินเนื้อสัตว์เพื่อดำรงชีวิต ดังนั้น นิสัยคนและสัตว์จึงผสมกัน เลือดลมของคนและสัตว์ไม่อาจเข้ากันได้ จึงเป็นบ่อเกิดของโรคต่าง ๆ...

ดังนั้น คนที่กินเนื้อสัตว์ สัญชาติของคนและสัตว์จึงปะปนกัน ไปทำลายจิตใจจนคนไม่เหมือนเก่า จึงพบหน้าคนใจสัตว์เต็มไปหมด จะเห็นได้จากคนที่เจริญแล้วในสังคม แต่กระทำในสิ่งที่ป่าเถื่อน บาปกรรมสร้างสมกันมา คนก็เริ่มเบียดเบียนถิ่นที่อยู่ของสัตว์ ทำอันตรายต่อชีวิต ดังนั้น คนจึงลดฐานะลงจนจิตใจอยู่ในระดับเดียวกับพวกสัตว์ ยังความห่างไกลจากหนทางสู่ความสำเร็จของพุทธะไป...

หากต้องการกลับไปสู่หนทางของพระอริยะเจ้าก็ต้อง ถือศีล กินเจ ปลดปล่อยชีวิตสัตว์ เพื่อชำระจิตใจให้สะอาด และยังต้องช่วยเหลือให้สัตว์เหล่านั้นสำเร็จธรรมด้วย หากกระทำเช่นนี้ได้ แน่นอนทีเดียวเราก็ใกล้สำเร็จความเป็นพระได้เช่นกัน...

ข้อ ๑. งดการฆ่า
สัตว์มีวิญญาณ มีเลือดเนื้อน้ำตา มีเจ็บปวดทรมานและมีจิตใจ โดยใช้จิตเมตตาธรรมและความกรุณา จึงทนดูการฆ่า ไม่ได้ ปราชญ์เมิ่งจื้อกล่าวว่า “สุภาพชนต้องอยู่ห่างครัวไฟ” นั่นคือไม่อยากให้มีการฆ่า ไม่อยากเห็นการฆ่า...
มนุษย์มีจิตรักสัตว์ ระหว่างคนด้วยกันจะไม่มีการต่อสู้ฆ่าฟันกัน ฉะนั้น การงดเว้นการฆ่าสัตว์จึงเป็นพื้นฐานหล่อเลี้ยงจิตใจคนให้เกิดความเมตตากรุณา...

ข้อ ๒. งดการกิน
เมื่อไม่ฆ่าแล้วก็ต้องไม่กิน เนื่องจากไม่กินเป็นผลให้คนฆ่าน้อยลงหรือเลิกฆ่า พวกพืชผักมีคุณค่าเพียงพอสำหรับมนุษย์และไม่มีอันตราย เนื่องจากพวกสัตว์ไม่มีการชำระร่างกาย พวกเชื้อโรคจึงเข้าอาศัยอยู่ได้ง่าย คนที่กินเนื้อก็จะได้รับเชื้อโรคทำให้เกิดโรคร้ายเนื้องอก มะเร็งต่างๆ ได้สารพัด แพทย์ก็จนปัญญาที่จะรักษา ในที่สุดก็ต้องทิ้งสังขารนี้ไป...

ยิ่งไปกว่านั้น คนที่กินเนื้อก็มักจะได้รับการก่อกวนจากวิญญาณสัตว์ ทำให้จิตของคนทุกวันนี้ไม่ปกติสุข ซึ่งทำให้โรคภัยไข้เจ็บทวีขึ้น จึงอยากให้ชาวโลกเลิกทานเนื้อสัตว์ หันมากินพืชผักธรรมชาติ ถึงแม้อยู่ในทำเลที่ไม่สะดวก การกินอาจจะขัดสน แต่จิตใจก็ไม่หลอกลวงทุจริตและปล้นจี้เกิดขึ้น...

ข้อ ๓. ปล่อยสัตว์
เมื่อสามารถงดเว้นการฆ่าสัตว์แล้ว งดการกินเนื้อสัตว์ได้แล้วแต่ก็ยังไม่พอ เพราะยังมีสัตว์พวก นก ปลา และเต่า ที่ยังถูกฆ่าอีกจำนวนมากมาย เพื่อให้จิตเกิดความเมตตา ควรซื้อหาสัตว์มาปล่อยให้มันมีชีวิตอิสระ เป็นการช่วยเหลือให้พ้นจากการถูกคุมขัง รอดจากการสังหาร สัตว์เหล่านี้จะรำลึกถึงบุญคุณโดยไม่อาจบรรยาย...

การที่พวกมันต้องไปเกิดเป็นสัตว์นั้นก็ล้วนมีสาเหตุเกิดจากทำบาปหนักตั้งแต่ชาติก่อน โดยเฉพาะละเมิดศีลข้อหนึ่งคือ เว้นจากการเบียดเบียนเข่นฆ่าสัตว์ ควรได้รับโทษประหาร แต่ผู้ที่มีเมตตาจิตควรอโหสิกรรมให้พวกมันเสีย นับประสาอะไรที่มันก็ไม่ได้ทำอันตรายเราและไม่มีความสามารถด้วย...

งดฆ่าสัตว์ งดกินเนื้อสัตว์ แต่ให้ปล่อยสัตว์ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นแบบฝึกฝนสำหรับผู้บำเพ็ญเพียร เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ ชำระวิญญาณให้ใสสะอาด...

วิธีช่วยให้สัตว์เดรัจฉานได้ฝึกฝนธรรมะนั้นคือ ช่วยกันพิมพ์หนังสือธรรมเผยแพร่ ทำให้คนมีความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจสัตว์ ยังสามารถรู้ถึงความรู้สึกในใจของสัตว์อีกด้วย เพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสสร้างความดีเพื่อลบล้างความผิด แท้จริงสัตว์ก็คือคนเวียนมาเกิดนั้นเอง เขาก็มีสิทธิที่จะมีชีวิตดำรงอยู่ในโลกเช่นเดียวกับเรา...

ด้วยเหตุนี้ จึงจะระงับอารมณ์ความโหดร้ายทารุณลงได้ เพื่อให้โลกมนุษย์นี้กลับกลายเป็นสุขาวดีแดนพุทธเกษตร มนุษย์และสัตว์อยู่กันอย่างสันติสุข เพื่อเพื่อนมนุษย์เพื่อผู้อื่น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเกิดความร่มเย็นกันถ้วนหน้า เป็นแดนบริสุทธิ์ในโลก มนุษย์ก็เท่ากับสมความตั้งใจของโพธิสัตว์ที่จะโปรดสรรพสัตว์ให้หมดโลกก่อนเข้าสู่นิพพาน...

Wednesday, December 3, 2008

ไอ้หยา! หมามังสวิรัติ ไม่สนจำพวกเนื้อ


แปลก ข่าว สุนัข มังสวิรัติ หรือ กินเจ ไม่กินเนื้อสัตว์ทุกชนิด แต่กลับชอบกินผัก และ หมา น้อยมีรูปร่าง อ้วน ท้วนแข็งแรงดีด้วยซ้ำ ชาวบ้านรู้แห่มาดู สุนัข พิศดาร ต้อนรับ เทศกาลกินเจ เพียบ


หลายคนแห่ไปยังบ้านเลขที่ 220 ถนนบรมไตรโลกนารถ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก หลังทราบข่าวว่า มีสุนัขที่ชาวบ้านเลี้ยงเอาไว้ ไม่กินข้าวกินเนื้อตั้งแต่ตัวยังเล็ก แต่กลับชอบกินอาหารจำพวกผักผลไม้เป็นประจำทุกวัน ไม่กินข้าวและอาหารจำพวกเนื้อเหมือนสุนัขทั่วไป หลังเดินทางถึงพบนางสุพิชญา เชื้อน่วม อายุ 23 ปี เจ้าของสุนัขบอกสุนัขที่เลี้ยงไว้กินแต่ผักผลไม้จริง ก่อนเรียกเจ้าสุนัขตัวโปรดออกมาเป็นสุนัขพันธุ์ตัวเล็ก มีขนฟูสีน้ำตาล สภาพร่างกายอ้วนท้วนสมบูรณ์ หลังจากนั้นเจ้าของได้นำผลไม้จำพวกลองกอง ผลฝรั่ง และกล้วย ใส่จานวางเอาไว้ให้กิน ปรากฏว่าสุนัขตัวนั้นได้กัดกินอย่างเอร็ดอร่อย ทำให้ผู้ที่ตามดูต่างประหลาดใจกันมาก เพราะไม่เคยให้สุนัขที่ไหนกินอาหารจำพวกผักผลไม้เลย


นางสุพิชญา กล่าวว่า สุนัขตัวนี้แม่เป็นคนซื้อมาให้เลี้ยงตอนอายุ 1 เดือน ราคา 20,000 บาท ตั้งชื่อให้ว่า "ก้อนทอง" เป็นสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียน ขณะนี้มีอายุได้ประมาณ 2 ปี ตอนแรกที่นำมาเลี้ยง ได้ไปหาซื้อนมมาชงให้กิน แต่ปรากฏว่าลูกสุนัขใช้ลิ้นแตะดูเท่านั้น และไม่ยอมกินเลย เมื่อเห็นว่าลูกสุนัขไม่ยอมกินนม จึงได้หาข้าวผสมกับอาหารจำพวกเนื้อให้กินอีก แต่ลูกสุนัขดมกลิ่นอย่างเดียวไม่ยอมกินเหมือนเดิม ในเมื่อลูกสุนัขไม่ยอมกินอาหารไม่รู้จะหาอะไรให้กินอีก เพราะกลัวว่าจะเลี้ยงไม่รอดอาจจะเสียชีวิตได้ จึงได้ทดลองเอาผลไม้ที่มีอยู่ในขณะนั้นมาแกะและปอกให้กิน ปรากฏว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อลูกสุนัขกลับหันมากินผลไม้ที่ปอกให้อย่างเอร็ดอร่อยจนอิ่มนอนหลับสนิท หลังจากเห็นสุนัขชอบกินผลไม้ จึงซื้อผลไม้มาเก็บไว้ที่บ้านเป็นประจำ มันจะกินผลไม้และผักทุกชนิดที่นำมาทำเป็นอาหาร


ตลอดเวลาที่ผ่านมาเลี้ยงเจ้าก้อนทองด้วยผลไม้และผักที่ใช้เป็นอาหารอย่างเดียว รูปร่างอ้วนท้วนแข็งแรงดีด้วยซ้ำ และยังเป็นสุนัขที่มีอารมณ์แจ่มใสร่าเริง เลี้ยงง่ายกว่าตัวอื่น เจ้าของบอกว่า หลังมีคนทราบข่าวได้มาดูกันเป็นประจำ ต่างพากันพูดว่าเป็นสุนัขมังสวิรัติ เป็นไปได้จริงๆ !!

จากมติชนออนไลน์

Tuesday, November 4, 2008

ระบำกฤดาภินิหาร


ปราโมทย์แสน
องค์อัปสรอมรแมนแดนสวรรค์

ยินกฤดาภินิหารมหัศจรรย์
เกียรติไทยลั่นลือเลื่องเรืองรูจี

ต่างเต็มตื้นชื่นชมโสมนัส
โอษฐ์เอื้อนอรรถอวยพรสุนทรศรี

แจ้วจำเรียงเสียงเพลงสดุดี
ดนตรีรี่เรื่อยประโคมประโลมลาน

แล้วลีลาศเริงรำระบำร่าย
กรกรีดกรายโปรยมาลีสีประสาน

พรมน้ำทิพย์ปรุงปนสุคนธาร
จักรวาลฉ่ำชื่นรื่นรมย์ครัน

ลดโลกร้อนด้วยการทานมังสวิรัติ

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?p=80269&sid=562fd5430fe66b49c9e0d3bfef406f04

คนรับประทานอาหารมังสวิรัติ ได้ชื่อว่าเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปโดยปริยาย เมื่อผลวิจัยพบว่า เนื้อหนึ่งกิโลกรัมแพร่กระจายก๊าซเรือนกระจก มากกว่าขับรถสามชั่วโมง พร้อมกับเปิดไฟในบ้านทิ้งไว้ทุกดวงนานเกือบเดือน งานวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งญี่ปุ่น ศึกษาพบว่า การทำฟาร์มปศุสัตว์ส่งผลกระทบต่อภาวะเรือนกระจก การใช้พลังงาน และทำให้น้ำเกิดสภาพเป็นกรด ทีมงานได้เก็บข้อมูลการเลี้ยงวัว และผลกระทบที่มาจากกระบวนการผลิตและขนส่งอาหาร แล้วนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ได้ศึกษาก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดจากการเลี้ยงวัวขุน จากนั้นนำมาคำนวณสัดส่วนก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม จากการวิเคราะห์พบว่า การผลิตเนื้อหนึ่งกิโลกรัม แพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตัวการก่อภาวะโลกร้อนเท่ากับ 36.4 กิโลกรัม และยังปล่อยสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่เป็นปุ๋ย 340 กรัม ฟอสเฟต 59 กรัม และบริโภคพลังงาน 169 เมกะจูลส์ เท่ากับว่า การผลิตเนื้อหนึ่งกิโลกรัมเท่ากับขับรถยุโรปเป็นระยะทางโดยเฉลี่ย 250 กิโลเมตร และเผาผลาญพลังงานเท่ากับเปิดหลอดไฟ 100 วัตต์เกือบ 20 วัน ก๊าซมีเทนซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาก๊าซเรือนกระจกเกิดจากระบบย่อยอาหารของสัตว์ ส่วนกรดและสารประกอบที่อยู่ในรูปของปุ๋ยมาจากมูลสัตว์เป็นหลัก และยังต้องใช้พลังงานในกระบวนการผลิตและขนส่งเนื้อสัตว์ด้วย นักวิจัยจึงแนะนำทางออกว่า ฟาร์มควรดำเนินการบริหารสิ่งปฏิกูลให้ดีขึ้น และลดช่วงการตกลูกวัวลงหนึ่งดือน จะช่วยลดการก่อมลพิษได้เกือบร้อยละ 6 เมื่อสองปีที่แล้ว นักวิจัยสวีเดนได้ศึกษาพบว่า การทำฟาร์มเกษตรอินทรีย์ หรือปล่อยให้วัวเล็มหญ้ากินก่อให้กิดก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าเลี้ยงด้วยอาหารสัตว์ร้อยละ 40 และใช้พลังงานน้อยลงร้อยละ 85 นอกจากนี้นวัตกรรมที่ผลิตมาเพื่อช่วยให้อาหารสัตว์ยังช่วยให้ฟาร์มแพร่ก๊าซมีเทนน้อยลง ถึงแม้เทคนิคเหลานี้จะช่วยลดมลภาวะได้ แต่วิธีที่ง่ายที่สุด คือ เลิกกินเนื้อดีกว่า--

บทความในวารสารทางวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์เวิลด์ นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ อลัน คัลเวิร์ด ได้เสนอวิธีการที่ง่ายกว่าเพื่อลดภาวะโลกร้อนคือการหยุดกินเนื้อสัตว์ บทความของเขาที่ชื่อว่า “การเข้าถึงอย่างถอนรากถอนโคนให้กับเกียวโต” ได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในอินเตอร์เน็ต และได้ถูกกล่าวถึงอย่างเผ็ดร้อนโดยนักวิทยาศาสตร์ แม้ว่าคัลเวิร์ดจะไม่ใช่เป็นนักมังสวิรัติ เขาก็ได้ตระหนักถึงความสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ของทรัพยากร ธรรมชาติและพลังงาน ซึ่งเกิดขึ้นจากการเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหาร เขาจึงได้คำนวณพลังงานที่ใช้ผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในรูปแบบต่าง ๆ กัน เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิง ฟอสซิล และการเผาผลาญของมนุษย์และปศุสัตว์และพบว่า 21% ของการบริโภคพลังงานเช่นว่านี้เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงปศุสัตว์ ในทำนองเดียวกันกับการเผาไหม้เชื้อเพลิงของรถยนต์ การหายใจของปศุสัตว์ทำให้เกิดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก นอกจากนั้นตัวเลข 21 % ของคัลเวิร์ด ไม่ได้รวมถึงแหล่งทางอ้อมของการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เช่น การให้อาหาร การฆ่าโดยเครื่องกล การชำแหละ การหีบห่อ การขนส่งและการแช่เย็น การคำนวณค่าพลังงานของการผลิตเนื้อสัตว์ที่สมบูรณ์กว่าได้ถูกกระทำโดยดอกเตอร์เดวิด พิเมนเทล แห่งมหาวิทยาลัยคอร์เนล ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางด้านการเกษตร ซึ่งเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางมังสวิรัติ แต่ได้ติดตามค่าพลังงานในการเลี้ยงเนื้อสัตว์เป็นเวลาหลายสิบปี และได้เขียนบทความทางวิทยาศาสตร์ 560 เรื่อง และหนังสือ 23 เล่ม เกี่ยวกับเรื่องนี้ ด็อกเตอร์พิเมนเทลมีตำแหน่งในรัฐบาลมากมายในการดูแลอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ และได้บอกเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ของเขาที่กินเนื้อสัตว์ซ้ำๆว่า “ผมไม่ได้ตัดสินทางด้านคุณธรรม ผมเพียงแต่กำลังให้ข้อมูลกับคุณ” ในบทความเรื่อง “การผลิตปศุสัตว์และพลังงานที่ใช้” ในปี 2547 ของเขา พิเมนเทลได้ประมาณการว่าในสหรัฐอเมริกา ปริมาณของน้ำมันที่ใช้ในการค้ำจุนอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นพื้นฐาน โดยเฉลี่ยแล้วเป็นปริมาณ 401 แกลลอนต่อปี ในขณะที่อาหารมังสวิรัติ 219 แกลลอน ยิ่งคนกินเนื้อสัตว์มากขึ้น ตัวเลขเหล่านี้ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ พิเมนเทลยังได้คำนวณไว้อีกว่าถ้าโลกทั้งโลกกินแบบที่คนในสหรัฐกินปริมาณน้ำมันสำรองของโลกก็จะหมดไปภายในเวลาเพียง 13 ปี เท่านั้น สิ่งที่น่าสังเกตที่สุดก็คือข้อสังเกตดังต่อไปนี้ แม้กระทั่งการขับรถหรูหราที่ซดน้ำมันมาก ก็ยังสามารถประหยัดพลังงานได้มากกว่าการเดิน ซึ่งก็คือเมื่อพลังงานที่คุณเผาผลาญจากการเดินมาจากอาหารมาตรฐานของชาวอเมริกัน! สิ่งนี้เป็นเพราะว่าพลังงานที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตอาหาร ที่คุณจะใช้เผาผลาญในการเดินระยะทางที่กำหนดให้นั้น มากกว่าพลังงานที่ต้องเติมให้รับรถยนต์ของของคุณ เพื่อที่จะเดินทางด้วยระยะทางเดียวกันโดยที่ประมาณว่ารถกินน้ำมัน 24 ไมล์ต่อแกลลอนหรือมากกว่า เรื่องหนึ่งที่มักจะลืมกันเสมอ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเนื้อสัตว์ก็คือก๊าซมีเทน อันเป็นผลิตภัณฑ์จากการย่อยแบบไม่ใช้ออกซิเจน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวัวหายใจออก การศึกษาขององค์การนาซ่า ซึ่งได้พิมพ์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ในวารสาร Geophysical Research Letters.ได้เปิดเผยว่าผลของก๊าซมีเทนต่อโอโซนในบรรยากาศ ทำให้เกิดสภาพโลกร้อนเป็น 2 เท่าของที่เคยประมาณการไว้ (10%) และการกินเนื้อสัตว์ทำให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซมีเทนชีวภาพ 1 ใน 3 ส่วนของโลก สถิติที่น่าประหลาดใจอีกอันหนึ่งก็คือ ปศุสัตว์ 9 พันล้านตัวที่อยู่ในสหรัฐกินธัญพืชมากกว่าพลเมืองของประเทศถึง 7 เท่า และเปอร์เซ็นต์ของธัญพืชที่ใช้เลี้ยงปศุสัตว์ก็เป็นปริมาณสูงเช่นกัน ในประเทศที่พัฒนาอย่างเช่นประเทศจีน อียิปต์ และเม็กซิโก นอกจากนั้นคำกล่าวของสถาบัน Worldwatch.สเต็ก 1 ปอนด์ ที่ถูกเลี้ยงด้วยธัญพืชทำให้เกิดการสูญเสียหน้าดิน 35 ปอนด์ และการผลิตอาหารสำหรับคนกินเนื้อสัตว์ ต้องใช้น้ำวันละมากกว่า 4,000 แกลลอนในขณะที่ใช้ 300 แกลลอนสำหรับอาหารมังสวิรัติ จากคำกล่าวของนักนิเวศวิทยาที่มีชื่อเสียง Mathis Wackernagel ที่ว่าอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นพื้นฐานเป็นเหตุผลสำคัญที่มนุษย์กำลังบริโภคทรัพยากรชีวภาพของโลกในระยะยาวด้วยอัตราที่ไม่อาจค้ำจุนได้ด้วย เหตุนี้นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากอย่างเช่นเว็คเคอนาเกลและคาลเวิกได้พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่า การบริโภคเนื้อสัตว์เป็นการทำให้ทรัพยากรของโลกลดน้อยลงแต่ก็มีเรื่องที่สำคัญที่จะต้องพิจารณาด้วยอย่างเช่นความผาสุกของสัตว์และด้านคุณธรรมที่มีต่อการฆ่าสัตว์ปริมาณมากต่อจิตสำนึกของมนุษย์ ตามที่ผู้บำเพ็ญจิตญาณทราบกันดีว่า การบริโภคเนื้อสัตว์เป็นหนึ่งในอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อการเติบโตทางจิตวิญญาณและเมตตาธรรม การฆ่าสัตว์เพื่อความสุขทางประสาทสัมผัสหรือการจ่ายเงินให้ผู้อื่นทำให้เรา ทำให้จิตใจเราแข็งกระด้างและนำไปสู่สงครามและความทุกข์ยากในรูปแบบอื่น ๆ ของมนุษย์ ในขณะนี้ที่นักวิทยาศาสตร์ได้เปิดเผยข้อมูลมากมายซึ่งแสดงให้เห็นว่าการกินเนื้อสัตว์ได้ทำลายพื้นฐานการดำรงชีวิตในโลกเรามนุษย์จึงมีเหตุผลมากกว่าแต่ก่อนที่จะละเลิกอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นหลักในยุคทองใหม่

จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม!!! ข่าวจากเกาะอังกฤษบอกว่า นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซาแธมป์ตัน ได้ทำการศึกษาวัดไอคิวกลุ่มตัวอย่างกว่า 8,000 คน ที่เกิดในปี ค.ศ.1970 ซึ่งถูกวัดไอคิวเมื่ออายุ 10 ขวบ ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ เมื่อเทียบผู้ที่กินเนื้อสัตว์กับชาวมังสวิรัติแล้วพบว่า คนที่กินมังสวิรัติมีระดับไอคิวสูงกว่าผู้บริโภคเนื้อเป็นประจำกว่า 5 จุด นี่คือ ผลที่ผ่านการทดสอบแล้วของฝั่งยุโรป หากแต่ตามความเชื่อในแนวทางของตะวันออกมีหลักความเชื่อของการกินมังสวิรัติที่แตกต่างไป โดยเชื่อว่า หากเรางดเว้นการกินเนื้อสัตว์ได้จะสามารถบรรเทาบาปเคราะห์ให้เบาบาง นอกจากนั้นยังจะส่งผลถึงความเป็นไปของโรคภัยโดยตรง เพราะเชื่อว่าการงดเนื้อสัตว์ และเสริมพลังด้วยนานาผัก ผลไม้ทำให้มีสุขภาพแข็งแรง พลานามัยดี อายุยืนยาว ** อายุยืนด้วยผักตามหลักเต๋า ศ.ดร.สุรชัย ศิริไกร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ศึกษาเต๋ามานานและเป็นผู้ที่คลุกคลีกับวิถีเจและมังสวิรัติมาเกือบตลอดชีวิต บอกเล่าว่า ลัทธิเต๋าเชื่อว่าการงดเว้นเนื้อสัตว์ทั้งปวงเป็นการให้ชีวิต เมื่อไม่มีผู้กินก็ไม่มีผู้ฆ่า การกินเนื้อสัตว์เป็นอาหารจึงเลี่ยงได้ และผลของการไม่ฆ่าและเลี่ยงนั้นจะทำให้เรามีร่างกายแข็งแรง “เต๋า เชื่อว่า เนื้อสัตว์มีเชื้อโรคมาก ยิ่งหากตายด้วยวิธีการฆ่าพวกมันจะหลั่งสารที่เป็นโทษ เมื่อคนกินเนื้อก็จะได้รับสารนั้นไปด้วย เพราะฉะนั้นเชื่อเถิดว่าคนอยู่ได้และจะไม่ป่วย ถ้าไม่ต้องกินสัตว์ ที่บอกแบบนี้เพราะหลายคนยังมีความคิดผิดๆ ว่าถ้าไม่กินเนื้อเลยจะไม่แข็งแรง ขาดโปรตีนซึ่งไม่ใช่ ต้องคิดใหม่ เราหาโปรตีนจากพืชได้เยอะแยะ” ในความเชื่อของลัทธิเต๋านั้น หากอยากอายุยืนต้องยุติการกินธัญพืช 5 ชนิด อันได้แก่ ข้าวเจ้า ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต และถั่วต่างๆ แล้วหันมาเน้นสมุนไพร ผลไม้ที่ให้พลังเช่นโสม อบเชย ชะเอม พุทรา โดยผู้ปฏิบัติมาแล้วอย่างศ.ดร.สุรชัย ยืนยันว่าหากงดธัญพืชทั้ง 5 ชนิดนี้หลัง 40 วันร่างกายจะกลับมาสดชื่น และหากปฏิบัติได้อย่างสม่ำเสมอพละกำลังจะกลับมาเฉกเช่นคนหนุ่มคนสาว ** จีนนิกายชูข้าวต้มให้คุณธัญพืช ฟากฝั่งพุทธศาสนา นิกายมหายาน (จีนนิกาย) แม้จะมีหลักไม่กินเนื้อสัตว์เช่นเดียวกับลัทธิเต๋า หากแต่ไม่มีข้อห้ามกินธัญพืช กลับชูเป็นตัวสร้างพละกำลังเสียด้วยซ้ำ ทั้งนี้ได้ยกตัวอย่างอันเป็นที่นิยมและง่ายต่อการเห็นภาพมากที่สุด คือ “ข้าวต้ม” ที่ทำจากข้าวสาลี อาหารที่พระจีนมักฉันในเวลาเช้า โดยอาหารตามหลักความเชื่อของจีนนิกายนี้จะเน้นรสชาติทั้ง 6 อันได้แก่ เปรี้ยว หวาน ฝาด ขม เค็ม และเผ็ด เศรษฐพงษ์ จงสงวน ผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนา นิกายมหายาน ได้แจกแจงคุณค่า 10 ประการของข้าวต้มว่า เป็นเครื่องต่ออายุ บรรเทาความกระหาย กำจัดความหิว บำรุงผิวพรรณ สร้างความคิด เพิ่มกำลัง ให้ความสุข ล้างลำไส้ ลมเดินสะดวก และเป็นเครื่องย่อยอาหารเก่า “ไม่เพียงข้าวต้มที่พระจีนนิยมฉันเท่านั้น ชาวจีนนิกายยังทำอาหารประเภทนี้ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาด้วย ดังเช่นข้าวต้มรัตนะ 8 ประการ หรือจะเรียกว่าข้าวต้มธัญพืช 8 ชนิดก็ได้ เป็นที่นิยมมากสำหรับพุทธมหายาน ซึ่งทุกบ้านในประเทศจีนตอนใต้จะพร้อมใจกันทำในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจีน เครื่องปรุงมีข้าวเหนียว ถั่ว ผลไม้แห้ง เครื่องยาจีน และธัญพืชรวมกันแล้วได้ 8 อย่าง หน้าตาจะคล้ายกับข้าวเหนียวเปียกบ้านเรา แต่เป็นอาหารมงคลสำหรับชาวนิกายมหายาน แต่ทุกวันนี้เขามักจะทำกินกันเกือบทุกฤดูไปแล้ว” เศรษฐพงษ์ อธิบาย อย่างไรก็ตามชาวจีนนิกายยังมีพิธีการก่อนรับประทานอาหารคล้ายคลึงกับเถรวาทนั้นคือต้องถวายพระรัตนตรัยก่อน จากนั้นค่อยพิจารณาอาหารอย่างรู้ประมาณ และมองอาหารเป็นเสมือนเภสัชบำบัดความหิวมิใช่บำรุงกิเลส ข้าวสาลี ธัญพืชต้องห้ามสำหรับเต๋า แต่เป็นตัวชูโรงของนิกายจีน ** บริสุทธิ์ตามแนวซิกข์นามธารี ด้าน อ.อัมรินทร์ ปิยะสัจจะเดชะ ประธานฝ่ายกิจกรรมนามธารี อันเป็น 1 ใน 2 นิกาย ของศาสนาซิกข์ในประเทศไทย บอกเช่นกันว่า นามธารี ได้ให้ความสำคัญของอาหารไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าศาสนาอื่นๆ โดยมีแนวทางกินมังสวิรัติเช่นเดียวกับอีกหลายความเชื่อ แต่อาจจะเคร่งครัดกว่าตรงที่ว่า ซิกข์นามธารีจะไม่ยอมรับมังสวิรัติที่ถือว่าไม่บริสุทธิ์และไม่ตรงกับหลักความเชื่อ กล่าวคือ นิกายนามธารีจะดื่มน้ำบริสุทธิ์ที่มาจากธรรมชาติเช่นน้ำฝน อาบน้ำ และปรุงอาหารจากธรรมชาติเท่านั้น “สิ่งที่เราทำ คือ เจ หรือมังสะที่ไม่เบียดเบียนกับจิตวิญญาณผู้อื่น ดังนั้นมังสวิรัติของซิกข์นามธารีนั้นจะไม่ผ่านการฆ่าไม่ว่าด้วยวิธีการใด แต่ที่รารับประทานพืชผักเป็นอาหารนั้น เพราะเราเชื่อว่าพืชพรรณธัญญาหารเป็นอาหารของสัตว์โลก มีจิตวิญญาณแต่สนองตอบต่อความรู้สึกเจ็บปวดน้อยที่สุด และเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ยิ่งถูกนำมาเป็นอาหารมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแพร่ขยายพันธุ์ไปมากเท่านั้น” อ.อัมรินทร์ อธิบาย สำหรับเหตุผลของผู้คนในปัจจุบันที่เข้าใกล้คำว่ามังสวิรัติ หรือกลายเป็นมังสวิรัติมากขึ้นในวันนี้นั้นส่วนหนึ่งเกิดจากความเชื่อของแต่ละศาสนาเรื่องบาปบุญ และการหลุดพ้น แต่มีจำนวนไม่น้อยที่หันมาเป็นชาวมังสะวิรัติเพราะกระแสสุขภาพ หรืออาการเจ็บป่วยด้วยเชื่อว่าการงดเว้นเนื้อสัตว์จะทำให้อายุยืนและสุขภาพแข็งแรง อย่างไรก็ตาม ทั้งความเชื่อทางศาสนาก็ผูกเข้ากับสุขภาพเป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพราะไม่ว่าศาสนาใดก็ต่างเชื่อว่าการไม่เบียดเบียนชีวิตอื่นคือการสร้างบุญ ดังนั้น การกินพืชผักจึงเป็นการสร้างบุญและสร้างสุขภาพที่ดีไปในคราวเดียวกัน

องค์การยูเนสโกรายงานว่า ทุกๆ วันมีเด็กๆ ประมาณ 40,000 คนเสียชีวิตเพราะความหิวโหย หรือขาดสารอาหาร ในขณะเดียวกัน มีการปลูกข้าวโพดและข้าวสาลี ส่วนใหญ่เพื่อเอาไปเลี้ยง ปศุสัตว์ (วัว หมู ไก่ เป็นต้น) หรือเอาไปผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ข้าวโพด มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ และข้าวโอ๊ตมากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ที่ผลิตในสหรัฐนั้นเอาไปเลี้ยงปศุสัตว์ ฝูงสัตว์ของทั้งโลกเพียงอย่างเดียว ได้บริโภคอาหาร ที่มีปริมาณเท่ากับจำนวนแคลอรี่ที่พอเพียงกับความต้องการ สำหรับคนมากถึง 8,700 ล้านคน มากกว่าจำนวนประชากร ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ... ชาวพุทธได้ถือปฏิบัติโดยการรับประทานมังสวิรัติมามากกว่า 2,000 ปีแล้ว พวกเราเป็น มังสวิรัติด้วยความตั้งใจที่จะหล่อเลี้ยง ความเมตตากรุณาที่มีต่อสัตว์ทั้งหลาย เดี๋ยวนี้เรายังรู้ด้วยว่า เรารับประทานมังสวิรัติเพื่อปกป้องโลก ป้องกันผลกระทบภาวะเรือนกระจก ที่จะทำให้เกิดความเสียหายที่รุนแรง และไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขในอนาคตอันใกล้ เมื่อผลกระทบภาวะเรือนกระจกมีความรุนแรง สิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะต้องได้รับทุกข์ ผู้คนเป็นล้านๆ จะล้มตาย และระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นท่วมเมืองและผืนแผ่นดิน จะส่งผลให้เกิดโรคร้าย มากมายที่เป็นอันตรายถึงชีวิต และจะทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดทุกสายพันธุ์จะต้องเป็นทุกข์จากผลที่เกิดขึ้น ทั้งภิกษุ ภิกษุณี และฆราวาสต่างฝึกปฏิบัติรับประทานมังสวิรัติ แม้ว่าจำนวนฆราวาสผู้เป็นมังสวิรัติร้อยเปอร์เซ็นต์มีไม่มากเท่าจำนวน ภิกษุภิกษุณี แต่พวกเขาก็ฝึกปฏิบัติรับประทานมังสวิรัติ ไม่ 4 วันก็ 10 วันทุกเดือน หลวงปู่เชื่อว่าการหยุดรับประทานเนื้อสัตว์ไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อเรารู้ว่า เรากำลังช่วยโลกด้วยการกระทำนั้น ชุมชนฆราวาสควรกล้าหาญและริเริ่มให้เกิดความมุ่งมั่นที่จะ เป็นมังสวิรัติ อย่างน้อย 15 วันทุกเดือน หากเราทำได้ เราจะรู้สึกถึงความเป็นอยู่ที่ดี เราจะมีความสงบ เบิกบาน และมีความสุข ตั้งแต่ขณะที่เราให้คำปฏิญาณและ ดำเนินความมุ่งมั่นนี้ ระหว่างงานภาวนาที่จัดขึ้นในสหรัฐในปีนี้ มีชาวพุทธอเมริกันหลายคนที่ได้ตั้งใจมุ่งมั่นที่จะงดรับประทานเนื้อสัตว์ หรือลดการรับประทานเนื้อลง 50 เปอร์เซ็นต์ นี่คือผลลัพธ์ของการตื่นรู้ หลังจากที่ได้รับฟังการบรรยายธรรมหลายครั้ง ในเรื่องผลกระทบ ภาวะเรือนกระจก ขอให้เรามาช่วยกัน ดูแลโลกของเรา ขอให้ช่วยกันดูแลสรรพชีวิต รวมไปถึงลูกหลานของเรา เพียงแค่เราเป็นมังสวิรัติ เราก็สามารถช่วยโลกได้แล้ว การเป็น มังสวิรัติในที่นี้หมายความถึงการที่เราไม่บริโภคผลิตภัณฑ์จากนมและไข่ เพราะทั้งสองเป็นผลผลิตจากอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ หากเรา หยุดบริโภค เขาก็จะหยุดผลิต มีเพียงการตื่นรู้ของกลุ่มคนเท่านั้น ที่จะสร้างให้เกิดความตั้งมั่นอย่างเพียงพอที่จะทำให้เกิดการกระทำขึ้นได้ ในเดือนธันวาคม 2550 นี้ วัดเดียร์พาร์คจะมีไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ สำหรับใช้ในกิจการของวัด ทุกๆ วัดที่อยู่ในวิถีหมู่บ้านพลัมในยุโรปและอเมริกาเหนือ ก็ได้ฝึกปฏิบัติวันงดใช้รถสัปดาห์ละครั้ง และเพื่อนๆ ของเราอีกหลายพันคน ก็ได้ฝึกปฏิบัติด้วยกันกับเรา เราเริ่มใช้รถน้อยลง และมาใช้รถพลังไฟฟ้าและรถที่ใช้น้ำมันพืชแทน รถยนต์เหล่านี้สามารถลดการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ลงได้ 50 เปอร์เซ็นต์ การเลือกซื้อรถโตโยต้าพริอุสซึ่งใช้น้ำมันและไฟฟ้าอย่างละครึ่ง เราสามารถป้องกันไม่ให้ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์เข้าสู่ชั้นบรรยากาศประมาณ 1 ตันทุกปี อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยแห่งชิคาโกรายงานว่า "การเป็นมังสวิรัตินั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ผู้รับประทานมังสวิรัติหนึ่งคน สามารถป้องกันไม่ให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์เกือบๆ 1 ตันเข้าสู่ชั้นบรรยากาศในทุกปี มากกว่าผู้ที่ รับประทานเนื้อสัตว์ เธออาจ จ่ายเงินมากกว่า 7 แสนบาทเพื่อซื้อรถพริอุสหนึ่งคัน และก็ยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ออกมา 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากกว่าการที่เธอเพียงแต่เลิกรับประทานเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์อื่นๆ เธอเห็นหรือยัง ครอบครัวทางธรรมที่รัก การเป็นมังสวิรัตินั้นเพียงพอแล้วที่จะช่วยโลกได้ มีพวกเราคนไหนบ้างที่ยังไม่เคยได้รับ ประสบการณ์อันแสนอร่อยจากอาหารมังสวิรัติ เราจะมองไม่เห็นความจริงข้อนี้เลยหากเรามัวยึดติดกับการกินเนื้อสัตว์ บ่ายวันนี้เมื่อเราเริ่มงานภาวนา ทุกคนได้รับข้อมูลว่าเราจะไม่ใช้ผลิตภัณฑ์นมและไข่ ตลอดช่วงการภาวนา จากนี้ไปในงานภาวนา ทั้งหมดของเรา และแน่นอนว่าในศูนย์ปฏิบัติธรรมทั้งหมดของเรา ในเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือก็จะทำเช่นนั้นด้วย หลวงปู่เชื่อมั่นว่า ฆราวาสทั้งหลายจะเข้าใจและสนับสนุนอย่างเต็มหัวใจ การฝึกปฏิบัติของเราในทุกวันนี้คือการช่วยให้ทุกคนได้ตระหนักรู้ถึง อันตรายของ ภาวะโลกร้อน เพื่อที่จะช่วยให้โลกและสรรพชีวิตปลอดภัย เรารู้ว่าหากไม่มีการตื่นรู้ของทั้งกลุ่มชน โลกและสรรพชีวิตจะไม่มีโอกาส อยู่รอด วิถีชีวิตประจำวันของพวกเราต้องแสดงให้เห็นว่าเรานั้นได้ตื่นรู้แล้ว... ด้วยรักและไว้วางใจ หลวงปู่ วัดบลูคลิฟฟ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา วันที่ 12 ตุลาคม 2550 หมายเหตุ : ตัดตอนบางส่วนมาจาก Letter from Thay

ความทุกข์ทรมานของสัตว์ ทราบไหมว่า วัวมากกว่า 100,000 ตัว ถูกฆ่าทุกวันในสหรัฐอเมริกา? สัตว์ส่วนมากในประเทศทางตะวันตก ถูกเลี้ยงใน “ฟาร์มแบบโรงงาน” สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ ได้รับการออกแบบเพื่อผลิตสัตว์ออกมาสำหรับฆ่าให้ได้จำนวนมากที่สุด โดยเสียค่าใช้จ่ายให้น้อยที่สุด สัตว์ทั้งหลายถูกนำมาเลี้ยงอยู่ด้วยกันอย่างแออัด เรื่องนี้เป็นความจริงที่พวกเราส่วนใหญ่จะไม่เคยได้เห็นด้วยตาของเราเอง กล่าวกันว่า “การเข้าไปดูในโรงฆ่าสัตว์หนึ่งครั้ง จะทำให้คุณเป็นมังสวิรัติไปตลอดชีวิต” ลีโอ ตอลสตอย กล่าวว่า “ตราบใดที่ยังมีโรงฆ่าสัตว์ ตราบนั้นก็จะยังมีสงคราม อาหารมังสวิรัติเป็นบททดสอบอันเข้มงวดสำหรับความมีมนุษยธรรมของมนุษย์” ถึงแม้ว่าพวกเราส่วนมากจะไม่ยินยอมหรือให้อภัยต่อการฆ่าเท่าใดนัก แต่เราก็ค่อยๆพัฒนานิสัยในการกินเนื้อกันจนเป็นปกติวิสัย ด้วยการสนับสนุนจากสังคมรอบข้าง โดยไม่ได้รู้หรือไม่ได้สนใจจริงๆเลยว่า สัตว์ที่เรากินกันเข้าไปนั้นถูกกระทำอะไรมาบ้าง และกำลังถูกทำอะไรอยู่ อัลเบิร์ต ไอนสไตน์ กล่าวว่า “ฉันคิดว่าการเปลี่ยนแปลงและผลของอาหารมังสวิรัติที่ทำให้อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์มีความบริสุทธิ์ขึ้น จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติมากทีเดียว ดังนั้นมันจึงเป็นสิริมงคลและมีสันติสุขสำหรับคนเราที่จะเลือกการกินมังสวิรัติ” คำกล่าวเหล่านี้เป็นคำแนะนำร่วมกันของนักปราชญ์และบุคคลสำคัญหลายท่านทั้งในอดีตและปัจจุบัน! นอกจากนั้น การหันมากินอาหารมังสวิรัติยังเป็นการส่งเสริมให้มีการปลูกพืชผักมากขึ้น พืชผักและต้นไม้เป็นตัวดูดจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่ในอากาศเพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสง ดังนั้น การเพิ่มพื้นที่ทางการเกษตร หรือแม้แต่การปลูกผักสวนครัวก็มีส่วนช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้

*************************************

สุดท้ายนี้ ที่สำคัญการกินมังสวิรัติเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนที่ถูกต้องควรเลือกกินผักผลไม้ตามฤดูกาลที่มีอยู่ในท้องถิ่น เพราะจะช่วยลดการคมนาคมขนส่งสินค้าจากแดนไกลซึ่งเป็นตัวการอย่างหนึ่งที่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และส่งเสริมผักผลไม้ที่ใช้วิธีการปลูกตามวิถีพื้นบ้าน และไม่มีการใช้สารเคมีและไม่มีการตัดต่อพันธุกรรม

ยูเอ็นแนะลดบริโภคเนื้อ ระบุช่วยลดปัญหาโลกร้อน

http://www.naewna.com/news.asp?ID=122095
ลอนดอน– ผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แนะนำให้ประชาชนลดการบริโภคเนื้อเพื่อร่วมแก้ปัญหาความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ หนังสือพิมพ์ดิ ออบเซิร์ฟเวอร์ของอังกฤษ รายงานโดยอ้างนายราเจนดรา ปาเชารี ประธานคณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (ไอพีซีซี) ที่เสนอแนะให้ประชาชนหันมาลดการบริโภคเนื้อ โดยชี้ว่า การปรับเปลี่ยนอาหารเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและปัญหาสิ่งแวดล้อมอันเป็นผลจากการเพาะเลี้ยงปศุสัตว์ นายปาเชารี นักเศรษฐศาสตร์วัย 68 ปี ซึ่งรับประทานอาหารมังสวิรัติแนะนำให้ปรับอาหารโดยเริ่มต้นด้วยการงดเนื้อสัตว์สัปดาห์ละ 1 วัน จากนั้นจึงทยอยลดบริโภคเนื้อในวันอื่น และย้ำว่า การปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตเพียงเล็กน้อยก็มีส่วนช่วยลดปัญหาโลกร้อน ซึ่งเชื่อว่าวิธีการนี้น่าจะจูงใจที่สุดเพราะสามารถปฏิบัติตามได้ง่ายและเห็นผลเร็ว อีกด้านหนึ่งมีคำเตือนจากไอพีซีซีระบุว่า หากปัญหาโลกร้อนยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีมาตรการแก้ไขก็อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อบรรยากาศโลก และส่งผลสืบเนื่องให้เกิดปัญหาความอดอยาก ภัยแล้ง พายุ และการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก
วันที่ 8/9/2008

Friday, October 31, 2008

อยากรู้ว่าโทรศัพท์มือถือของท่านเป็นของแท้หรือไม่?

กดเครื่องหมาย *#06# หมายเลขรหัสจะปรากฎขึ้นมา

โปรดดูหมายเลขที่ 7 และ 8 ดังนี้1 2 3 4 5 6 7th 8th 9 10 11 12 13 14 15 ===================================================================

- หากหมายเลขที่เจ็ดและแปดเป็น 02 หรือ 20 แสดงว่าโทรศัพท์มือถือของท่านประกอบในประเทศจีนซึ่งมีคุณภาพต่ำ

- หากหมายเลขที่เจ็ดและแปดเป็น 08 หรือ 80 แสดงว่าโทรศัพท์มือถือของท่านผลิตในประเทศเยอรมันซึ่งมีคุณภาพปานกลาง

- หากหมายเลขที่เจ็ดและแปดเป็น 01 หรือ 10 แสดงว่าโทรศัพท์มือถือของท่านผลิตในประเทศฟินแลนด์ซึ่งมีคุณภาพดีมาก

- หากหมายเลขที่เจ็ดและแปดเป็น 00 แสดงว่าโทรศัพท์มือถือของท่านผลิตจากโรงงานผลิตโดยตรงซึ่งมีคุณภาพดีที่สุด

- หากหมายเลขที่เจ็ดและแปดเป็น 13 แสดงว่าโทรศัพท์มือถือของท่านประกอบที่ประเทศอาเซอร์ไบจันซึ่งมีคุณภาพเลวและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

Thursday, October 30, 2008

มังสวิรัติลดภาวะโลกร้อน เรื่องจริงที่มนุษย์ควรรู้

http://thelinguist.blogs.com/how_to_learn_english_and/2007/07/the-linguist-me.html
อาหารมังสวิรัติอาจดูห่างไกลกับเรื่องของภาวะโลกร้อน แต่ย้อนกลับไปกระบวน การผลิต เมื่อเราบริโภคอาหารที่ปลอด เนื้อสัตว์จะช่วยทำให้โลกเย็นลง จากรายงานของสหประชาชาติระบุว่าการรับประทานเนื้อสัตว์เป็นสาเหตุสำคัญทำให้ เกิดภาวะโลกร้อนนั้นเพราะเกิดแรงผลักดันสำคัญ ของการตัดไม้ทำลายป่า มีตัวเลขออกมาว่ามากกว่า 70% ของป่าอะเมซอนถูกโค่นลงเพื่อทำทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ การผลิตปศุสัตว์ผลิตก๊าซเรือนกระจกมากกว่าการขนส่งทั่วโลก มูลสัตว์จำนวนมากเป็นแหล่งที่มาของก๊าซมีเทนจำนวนมหาศาล และก๊าซมีเทนทำให้เกิดภาวะโลกร้อนได้มากกว่าก๊าซคาร์ บอนไดออกไซด์ถึง 21 เท่า นอกจากนี้ยังพบว่าวัวผายลม หรือแม้ กระทั่งเรอออกมายังปล่อยก๊าซมีเทนสู่โลก

เนื่องจากก๊าซมีเทนส่ง ผลให้โลกร้อน รายการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม สุพรีมมาสเตอร์ (http://www.suprememastertv.com/) สถานีที่เน้นรายการสร้างสรรค์ และแรงบันดาลใจให้กับมนุษย์ ได้จัดสัมมนาทางไกลผ่านดาวเทียม ณ สถาบันเอไอที (Asian Institute of Technology) เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยร่วมสนทนาพูดคุยกับ อนุตราจารย์ชิงไห่ นักมนุษยธรรมชาวเวียดนาม ศิลปิน และครูทางจิตวิญญาณที่มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วโลก เธอสนใจศึกษาศาสตร์ของศาสนาพุทธฉบับมหายาน และเป็นบุคคลที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ชื่อดังของโลก ในช่วงปีที่ผ่านมา อนุตราจารย์ชิงไห่ ศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับปัญหาโลกร้อนเพื่อให้การเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน เธอจึงใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวในการจัดทำรายการโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์ โดยออกอากาศฟรีทางช่องสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย. 2550 ที่ผ่านมา ด้วยหวังจะเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้คนหันมาเห็นความสำคัญของภาวะโลกร้อนภายใต้แนวทางอันโดดเด่นของเธอคือการเลือกบริโภคมังสวิรัติ

อนุตราจารย์ชิงไห่ กล่าวในวันสนทนาทางไกลในวันนั้นว่า การรับประทานเนื้อสัตว์เป็นสาเหตุของโรคร้ายของมนุษย์ แม้แต่นมยังเป็นสาเหตุมากมาย คัมภีร์ในศาสนายังแนะนำให้คนเราไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ปริมาณถั่วเหลืองที่ผลิตได้ 15 เปอร์เซ็นต์ของโลกต้องนำไปเลี้ยงสัตว์ แทนที่จะเหลือไว้ให้ผู้คนบริโภค ทั้งนี้การไม่รับประทานเนื้อสัตว์ทำให้หยุดการฆ่าทั่วโลก ทำให้สุขภาพดีขึ้น ที่สำคัญทำให้เรารักษาโลกใบนี้ไว้ได้โดย ทางอ้อม “ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นจากที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เรายังไม่เห็นผลกระทบที่มากมายเพียงครั้งเดียว ถ้าเรายังไม่ทำอะไรเลยผลที่แย่กว่านั้นจะตามมา ภายใน 4 ปีถ้าเราไม่ทำอะไรเลยผลแห่งกรรมที่เราทำไว้ก็จะเกิดขึ้น ไม่มีใครอยู่รอด ผลของภาวะโลกร้อนเกิดจากกฎของจักรวาล ทำอะไรก็จะได้ตามนั้น” อนุตราจารย์ชิงไห่ระบุ

นอกจากนี้ในงานสนทนาทางไกลผ่านดาวเทียม ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา อดีตนักวิทยาศาสตร์นาซา และผู้เชี่ยวชาญเรื่องโลกร้อน เข้าร่วมสนทนาทางไกลนี้ด้วย บอกเล่าให้ฟังถึงปรากฏการณ์บริโภคเนื้อสัตว์ว่า เมื่อพิจารณาความยืนยาวของชีวิต ชาวเอสกิโมซึ่งกินเนื้อและไขมันจำนวนมาก มีอายุเฉลี่ยประมาณ 27 ปี ขณะที่ชาวหันสาซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัย อยู่ในปากีสถาน กินเมล็ดธัญพืช อาหารสด ผลไม้และผัก มีอายุยืนยาวถึง 110 ปี นอกจากนี้มีตัวเลขเปรียบเทียบระหว่างการบริโภคอาหารมังสวิรัติและเนื้อสัตว์ให้ฟังว่า หากเทียบสัดส่วนระหว่างนมถั่วเหลืองจำนวน 100 กรัมกับนมวัว ปริมาณของโปรตีนที่ได้จากนมถั่วเหลืองให้มากกว่าถึง 41 กรัม ขณะที่นมวัวได้ 26 กรัม ระหว่างการใช้พื้นที่ผลิตโปรตีนในปริมาณเท่า ๆ กัน การทำปศุสัตว์ใช้พื้นที่ถึง 17 เท่าเมื่อเทียบกับการปลูกถั่วเหลือง รวมทั้งน้ำที่ใช้ต้องใช้มากกว่าในการเลี้ยงสัตว์ด้วยเมล็ดพืชแล้วย้อนกลับมาเป็นโปรตีนในสัตว์ที่มนุษย์จะได้กลับคืนมา จะมีโปรตีนต่ำมากแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ของโปรตีนและพลังงานของอาหารทั้งหมดที่เอาไปเลี้ยงสัตว์ และเปลี่ยนสภาพมาเป็นเนื้อสัตว์

“80-90 เปอร์เซ็นต์ของเมล็ดธัญพืชจะถูกนำไป เลี้ยงสัตว์ นับเป็นการสูญเสียอย่างหนึ่ง เพราะเราได้คืนแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ยกตัวอย่างโดยเฉลี่ยคนอเมริกันกินเนื้อ 129 ปอนด์ต่อ 1 ปีในเวลานี้ ถ้าลดการกินเนื้อลงครึ่งหนึ่ง อาหารจะมีเพียงพอสำหรับประชากรของประเทศกำลังพัฒนา” คนไทยผู้เชี่ยวชาญเรื่องโลกร้อนบอกเล่า เรื่องของภาวะโลกร้อนอาจนำวิกฤติมาสู่โลกแต่ขณะเดียวกัน บางแง่มุมยังมีโอกาสอย่างใดอย่างหนึ่งซุกซ่อนอยู่หากมีการปรับวิถีการกินใหม่ทั้งโลก แน่นอนช่วยลดโลกร้อนได้ ผลที่ตามมายังช่วยเรื่องสุขภาพและที่สำคัญเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ขาดแคลนอาหารด้วย ดังคำกล่าวของมหาตมะคานธีที่ว่า โลกนี้เพียงพอสำหรับความต้องการของทุกคน แต่ไม่เคยเพียงพอสำหรับความโลภของผู้คน.

พรประไพ เสือเขียว

The Linguist Method

http://thelinguist.blogs.com/how_to_learn_english_and/2007/07/the-linguist-me.html
As we prepare to roll out the new LingQ system in August I have been trying to summarize the learning principles that are behind LingQ. Here is what I have come up with. I would appreciate any feedback.
“A linguist is someone who enjoys speaking more than one language”-Steve Kaufmann
LingQ (www.lingq.com) is a learning system based on The Linguist Method.
The Seven Principles of the Linguist Method.
1) Enjoy yourself: Enjoy the experience of learning. Enjoy the language you are learning. Choose a language to study that you enjoy or find ways to enjoy the language you are studying. Choose content that you like. Do learning activities that you like.
2) Focus on input first: Listen and read. Get used to the language. Do not feel you have to produce the language. Just get the language into you. Listen often while doing other tasks, wherever you can. You can also listen while reading, or you can just read.
3) Learn words: Notice words and how they are used. Do not worry if you forget and relearn words. Notice which words come together in phrases. Do not worry about explanations of grammar, they will not mean much until you have had a lot of input in the language.
4) Set goals and be efficient: Take advantage of modern technology. Use MP3 players, computers, online dictionaries, the Internet, LingQ, as well as books, audio books and other resources. Set goals and measure your progress towards these goals.
5) Communicate naturally without fear: Start expressing yourself only when you are ready. Aim for constant improvement, not perfection. Notice which words and phrases cause you trouble so that you can work on them on your own. Write and speak naturally and keep it simple.
6) Have fun with pronunciation: Imitate what you are listening to, the words and phrases, as well as the sounds and the intonation of the language. Record yourself and share this with others, including your tutor. Exaggerate and have fun, but do not worry about how you sound.
7) Join a community: Find friends who speak the language you are studying and friends who are learning that language. If you cannot find them where you live, find them on the Internet. You can even help others to learn your own language and you will get better at learning languages. You will become a linguist.

Repetitive listening to English

http://thelinguist.blogs.com/how_to_learn_english_and/2006/04/repetitive_list.html

Assad, a regular and valued contributor at this blog, asks in a recent comment here about the benefits of repetitive listening to English content as compared to just listening to CNN or TV sitcoms. He makes the point that children do not listen repetitively to the same content when learning their mother tongue.
In my view the answer depends on the level and the goals of the learner. For a beginner or low intermediate and even many intermediate learners, CNN and sitcoms are too difficult to understand.
I believe that listening to the same content and then reading it and then working through the new or unfamiliar words and phrases using The Linguist methodology, and then listening again and again, is a very efficient process for beginner and intermediate learners. Doing this helps the learner become familiar with the flow of the language as well as enabling him or her to learn new words and phrases. I am constantly spontaneously mimicking Russian phrases that I have heard through my repetitive listening.
Of course the content has to be interesting for this process to be bearable. Most text book content is not interesting. That is why we have created more interesting and authentic content at The Linguist and allow the learner to choose what to learn from.
Listening to content, such as CNN or sitcoms where, for many learners, 25% or more is not understood, can be frustrating. What is worse it can destroy confidence. On the other hand repetitive listening increases confidence in the ability to understand even a limited range of content. This tends to build confidence in using the language. That has been my personal experience in learning other languages, and is the experience of our learners at The Linguist.
It is true that as the learner progresses the frequency of repetition will decrease. We talk about an "intensive" period during which the first 2,000 words of the language are acquired. In this period a "strange" language gradually becomes more familiar and even predictable. The learner can acquire a sense of the language more easily by listening to content that he or she understands, and by getting a second and third and fourth chance to hear it.
The high frequency words and expressions are listened to over and over. Listening to familiar content means that the learner is able to focus on these words and phrases and acquire them. Repetitive listening is also excellent for working on pronunciation and rhythm, since the meaning is already understood. This "intensive" period may last 3-6 months.
Thereafter the learner moves gradually into a more "extensive" study period. There are fewer unknown words and these new words also reappear less frequently. On the other hand the learner is now better at guessing at meaning. So, now the learner only listens to the same content a few times and is able move on to new content sooner. This content may consist of CNN or other radio content, or sitcoms, or whatever subject is of interest to the learner.
Those learners who are already past the intermediate stage but want to work on pronunciation may still listen many times to content which they particularly like, or which features phrasing or intonation or a voice that they find pleasant. I have always done this even for languages which I already know quite well. I often listen to the same Xiang Sheng dialogues in Chinese to refresh my Chinese, because it helps me get back into the rhythm of Mandarin.
Children listen to a limited range of content even though it is not repetitive listening to recorded content. The subject matter and vocabulary is limited. The child also takes many years to reach the level of vocabulary and the ability required to express complex ideas. The adult learner can reach that level in less than a year.

How many words do you know?

http://thelinguist.blogs.com/how_to_learn_english_and/2006/03/how_many_words_.html
Is there one measure of a person's language skill? Are tests like TOEFL TOEIC or IELTS reliable indicators?
In a way the simplest way to find out how well a person uses a language is to ask that person some questions that require lengthy answers, orally or in writing. On oral expose or a written essay will quickly show how the person uses the language. But all of that takes time and the evaluation is necessarily subjective.
So at The Linguist we have a simple scale, one which is easy to measure. It is the number of words known. This can be measured in a cloze test, a test where certain words are blanked out and the learner has to choose from a drop list.
I believe that the number of words known has the advantage of being extremely simple and yet reliable. Most of the learner's skills will correlate to this one index.
We have six levels for our learners
Beginner a) 2,000 b) 3,500 Intermediate a) 5,000 b) 7,5000 Advanced a) 10,000 b) 12,500
Some people may speak better than their known word total, at least in casual social conversation. This means they should read and listen more, work on vocabulary and then write more to increase their vocabulary.
Some people may not speak as well as their word total suggests. They should listen more to content they already understand well. They should focus more on learning phrases. They should work harder on pronunciation. They may also have to write more and then practice reading their corrected writing out loud. If they have the opportunity they should speak more.
Of course each person's case is individual. But the number of words known is still a reliable and yet simple indicator of a person's level. In The Linguist it is an easy number to follow, because we measure vocabulary growth. If a student has 3,000 words then he or she knows what the goal should be. He or she can measure progress towards this goal on a monthly, weekly or even daily basis.
The high frequency words are easier to learn because they are encountered more frequently. On the other hand they are difficult to learn because the learner is not familiar with the language and every words seems strange. Later on the words are encountered less often, but on the other hand the learner is now familiar with relationships between words. Prefixes, suffixes, root words and other similarities between words are easily recognized. Also the learner is better and better able to guess at meaning as the number of unknown words in any text is smaller. So it all balances out.
We count each form of a words as a different word. On this basis I believe a person can learn 25 or more words a day using our system. Most people will learn half that number. This does require, however, a lot of listening to our content on their MP3 players and reading the texts and reviewing words and phrases.

Wednesday, October 29, 2008

โคลงสุภาษิต พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า

๏(๑๖) สิ่งใดในโลกล้วน เปลี่ยนแปลง
หนึ่งชราหย่อนแรง เร่งร้น
ความตายติดตามแสวง ทำชีพ ประลัยเฮย
สามส่วนควรคิดค้น คติรู้เตรียมคอย


มีเพียรประดุจได้ ขุมทรัพย์
มากประมาณโกฏินับ ไป่ถ้วน
เป็นพื้นภาคภูมิรับ การร่ำ เรียนนา
ความสุขสมบัติล้วน เสร็จได้โดยเพียร


ความรู้ คู่เปรียบด้วย กำลัง กายเฮย
สุจริต คือเกราะบัง ศาสตร์พ้อง
ปัญญา ประดุจดัง อาวุธ
คุมสติ ต่างโล่ป้อง อาจแกล้ว กลางสนาม

Tuesday, October 14, 2008

Top Ten Most Beautiful Words

1. Mother 2. Passion 3. Smile 4. Love 5. Eternity 6. Fantastic 7. Destiny 8. Freedom 9. Liberty 10. Tranquillity

Saturday, September 27, 2008

ชาติก่อนและชาติปัจจุบันของสุกรตัวหนึ่ง

บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
ชาติก่อนและชาติปัจจุบันของสุกรตัวหนึ่ง
โดย ชิ เซียว ลาน บทคัดลอกจาก “Observe All, Thatch Hut Note”

มีพระชราท่านหนึ่ง ตอนที่ท่านเดินผ่านโรงฆ่าสัตว์ ท่านอดที่จะร้องไห้ไม่ได้ แล้วท่านก็พูดถึงอดีตชาติของท่าน

“มันเป็นเรื่องยาว อาตมาระลึกถึงอดีตชาติของอาตมาได้ ในชาติหนึ่ง อาตมาเป็นคนฆ่าสัตว์ และมีรายได้จากการฆ่าสัตว์ อาตมาเสียชีวิตตอนอายุสามสิบ จิตวิญญาณของอาตมาถูกยมทูตหลายองค์พาไปที่นรก ยมบาลได้ดุว่าอาตมาเนื่องจากกรรมหนักจากการฆ่าของอาตมา และนำจิตวิญญาณของอาตมาไปไว้ในกงล้อในนรก เพื่อชดใช้กรรม อาตมาอยู่ในภวังค์ และไม่รู้สึกตัว ราวกับว่าอาตมาเมาเหล้า หรืออยู่ในความฝัน อาตมารู้สึกแต่ว่า ศีรษะของอาตมาร้อนมากจนทนไม่ได้ ในเวลาต่อมา อาตมารู้สึกเย็นลงเล็กน้อย และพบว่าตัวเองอยู่ในร่างของสุกร และพบว่าตัวเองนั้นเกิดใหม่เป็นสุกร”

“ตอนที่อาตมาเกิดเป็นสุกร อาตมาร้องครางอย่างเด็กทารก อาตมาเห็นว่า ผู้คนมักจะนำเศษอาหารสกปรก มีกลิ่นเหม็นมาให้เสมอ อาตมารู้ว่าอาหารนั้นไม่สะอาด และพยายามที่จะไม่ทานอาหาร แต่อาตมาก็หิวจนทนไม่ได้ และอวัยวะภายในของอาตมาเจ็บปวดมาก ราวกับว่ามันถูกเผาไหม้ด้วยไฟ อาตมาไม่มีทางเลือกนอกจากทานอาหารสกปรกนั้นเพื่อรักษาชีวิตไว้ อาตมาเรียนภาษาสุกรอย่างช้า ๆ และสามารถพูดกับเพื่อนสุกรของอาตมาได้ ที่จริงแล้ว สุกรจำนวนมากมายสามารถระลึกได้ว่า พวกเขาเคยเป็นมนุษย์มาก่อน แค่ว่าตอนนี้ พวกเขาเกิดมาเป็นสุกร พูดภาษาที่ต่างไป และไม่สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ ตอนที่พวกเขากำลังจะถูกฆ่า พวกเขาทราบดีไม่มากก็น้อยว่าวันนั้นกำลังมาถึง พวกเขาจะโอดครวญอย่างเศร้าสร้อย และด้วยดวงตาเปียกปอน”


“การเป็นสุกร ร่างกายของพวกเรานั้นหนักมาก และเราเดินได้ไม่สะดวกนัก ในฤดูร้อนเรากลัวความร้อน และต้องแช่ตัวเองในโคลนเพื่อให้รู้สึกเย็นลง อย่างไรก็ดี สิ่งนี้เป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่เป็นจริงได้ไม่บ่อยนัก ขนของเรานั้นหยาบ และแข็ง และมีน้อย เราจึงกลัวความหนาวเย็นในฤดูหนาว การได้รู้ว่าสุนัขและแกะมีขนหนา เหมือนพรมบนร่างกาย เราคิดว่าพวกเขาเป็นสัตว์ที่ได้รับการปฏิบัติอย่างสวรรค์ ในเวลาที่ถูกฆ่า แม้ว่า เราจะรู้ว่า มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรายังดิ้นรน กระโดด และพยายามหนี จากนั้น คนฆ่าจะจับตัวเราไป พวกเขาเหยียบบนตัวเรา และมัดคอและขาทั้งสี่ของเราด้วยเชือก เชือกนั้นถูกมัดไว้อย่างแน่น จนมันสัมผัสกระดูกของเรา มันเจ็บปวดมากราวกับว่ากำลังถูกกรีดด้วยมีด พอเราถูกขนไปยังเรือ หรือรถเข็น สุกรทุกตัวจะถูกอัดแน่นไว้ด้วยกัน จนกระดูกของเราแทบหัก เลือดของเราไหลเวียนได้ไม่ดี และท้องของเราบวมราวกับว่ามันถูกผ่าออกมา บางครั้ง ผู้คนแบกสุกรหลายตัวพร้อมกันไว้บนเสาไม้ไผ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ็บปวดทรมานมาก จนเราหวังว่า เราตายเสียดีกว่า พอมาถึงโรงฆ่า เราถูกโยนลงบนพื้น และหัวใจและอวัยวะภายในของเราถูกเขย่าราวกับว่า มันจะระเบิดออก สุกรบางตัวตายเพราะความเจ็บปวดอันสุดแสนจะทนทรมาน บางครั้งสุกรถูกมัดไว้เป็นเวลาหลายวัน โดยมีมีด เขียงหั่น และหม้อน้ำร้อนขนาดใหญ่ วางอยู่ด้านขวา เมื่อนึกถึงว่า มันจะเจ็บปวดแค่ไหนตอนที่ถูกเฉือนด้วยมีด และถูกถอนขนด้วยน้ำร้อน เราไม่สามารถหยุดสั่นตัวเองได้ บางครั้ง เมื่อนึกดูว่า เราจะถูกชำแหละแยกชิ้นส่วนและกลายเป็นเครื่องปรุงในหม้อซุป เรารู้สึกหมดอาลัยในความสิ้นหวัง”

“พออาตมากำลังจะถูกนำไปฆ่า อาตมารู้สึกหวาดกลัว และเวียนศีรษะ ทันใดที่อาตมาถูกคนชำแหละจับตัวไป สี่ขาของอาตมาอ่อนแรง หัวใจสั่น และจิตวิญญาณของอาตมารู้สึกราวกับว่า มันบินออกจากกลางกระหม่อมของอาตมาไป ตอนที่อาตมาถูกวางลงบนเขียงชำแหละ อาตมาไม่สามารถเผชิญหน้ากับใบมีดสะท้อนแสงนั้นได้ อาตมาจึงแค่ปิดตา และรอให้เขาเฉือนคอของอาตมา คนฆ่าเฉือนคอของอาตมาก่อน และตะแคงใบมีดเพื่อให้เลือดของอาตมาไหลลงไปในหม้อ ความเจ็บปวดนั้นเกินกว่าที่จะบรรยาย! เนื่องจากอาตมาไม่ได้ตายในทันใด สิ่งเดียวที่อาตมาทำได้ก็คือกรีดร้องเสียงดัง หลังจากที่เลือดของอาตมาไหลออกไป คนฆ่าก็แทงไปที่หัวใจของอาตมา ซึ่งทำให้อาตมารู้สึกเจ็บจนถึงกระดูก และอาตมาไม่สามารถร้องตะโกนได้อีกต่อไป อาตมารู้สึกเข้าสู่ภวังค์อย่างช้า ๆ และรู้สึกราวกับว่า อาตมาเมาสุรา หรืออยู่ในความฝัน ซึ่งเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่อาตมาเกิด

“นานมากหลังจากนั้น อาตมามองไปที่ตัวเอง และพบว่า จิตวิญญาณของอาตมา กลับสู่นรกอีกครั้ง ยมบาลตัดสินให้อาตมาเกิดมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง หลังจากที่พบว่า อาตมาได้ทำความดีบางอย่างในชาติก่อน ในชาตินี้ พออาตมาเห็นสุกรที่กำลังจะถูกฆ่า และอยู่ในความทุกข์ตรม อาตมาก็นึกถึงความจริงที่ว่า คนที่กำลังฆ่าสุกรพวกนั้น จะผจญกับชาตาชีวิตเดียวกันในอนาคต แล้วอาตมาก็คิดถึงตัวเอง อาตมาร้องไห้อย่างควบคุมไม่ได้”

หลังจากที่พระท่านเล่าเรื่องนี้ของท่านให้กับนักฆ่า เขาก็วางมีดลงบนพื้นในทันใด และเปลี่ยนอาชีพไปขายผัก

การเภสัชกรรมของพระเจ้า

ได้มาจาก Forward อีเมล์

แครอทฝานเป็นแผ่นมองดูเหมือนตาของมนุษย์ ลูกตาดำ ม่านตา และเส้นแผ่จากจุดศูนย์กลาง มองดูเหมือนตามนุษย์ และใช่ ตอนนี้วิทยาศาสตร์แสดงว่าแครอททำให้การไหลเวียนของเลือดไปการทำงานของดวงตาดีขึ้นอย่างมาก

มะเขือเทศมีสี่ช่องและเป็นสีแดง หัวใจมีสี่ช่องและเป็นสีแดง การวิจัยทั้งหมดแสดงว่ามะเขือเทศเต็มไปด้วยไลโคปีนและเป็นอาหารของหัวใจและเลือดที่บริสุทธิ์อย่างแน่แท้

องุ่นแขวนในเป็นพวงนั้นเป็นรูปทรงของหัวใจ แต่ละผลดูเหมือนเซลล์เม็ดเลือดและการวิจัยทั้งหมดของทุกวันนี้แสดงว่าองุ่นเป็นอาหารที่ให้พลังแก่หัวใจและเลือดอย่างลึกซึ้ง

วอลนัทดูเหมือนสมองเล็กๆ ครึ่งหนึ่งของสมองส่วนซีรีบรัมซ้ายและขวา, ด้านบนและด้านล่างซีรีเบลลัม แม้แต่รอยย่นหรือปมบนใบหน้าบนถั่วคล้ายนีโอคอร์เทค ตอนนี้เรารู้ว่าวอลนัทช่วยพัฒนาตัวถ่ายทอดสัญญาณเซลล์ประสาทมากกว่า 36ตัว เพื่อการทำงานของสมอง

พืชถั่วรูปไตชนิดหนึ่งเยียวยาและช่วยบำรุงรักษาการทำงานของไตและใช่ พวกมันดูเหมือนไตของมนุษย์จริงๆ

ผักคึ่นช่าย Bok Choy พืชจำพวก Rheum ลำต้นอ่อนกินได้ ใบมีพิษ และอีกมากมายดูเหมือนกระดูก อาหารเหล่านี้มีเป้าหมายที่ความแข็งแรงของกระดูกเป็นพิเศษ กระดูกเป็นโซเดียม 23% และอาหารเหล่านี้เป็นโซเดียม 23% ถ้าคุณไม่มีโซเดียมเพียงพอในอาหารของคุณ ร่างกายจะดึงมันออกจากกระดูก เช่นนี้แล้วทำให้มันอ่อนแอ อาหารเหล่านี้เติมเต็มความต้องการเกี่ยวกับโครงกระดูกของร่างกาย

อโวคาโด มะเขือยาว และลูกแพร์ มีเป้าหมายเพื่อสุขภาพและการทำงานของมดลูกและปากมดลูกของเพศหญิง - พวกมันดูเหมือนอวัยวะเหล่านี้ การวิจัยของทุกวันนี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อผู้หญิงกินอโวคาโดหนึ่งผลต่อสัปดาห์ มันจะทำให้ฮอร์โมนสมดุลย์ ทำให้ birth weight ที่ไม่ต้องการไหลออกมา และป้องกันมะเร็งซึ่งเกี่ยวกับปากมดลูก และสิ่งนี้ลึกซึ้งอย่างไร มันใช้เวลาเก้าเดือนเพื่อปลูกอโวคาโดจริงๆจากผลิดอกบานถึงเป็นผลไม้สุก มีองค์ประกอบทางเคมีมากกว่า 14,000 photolytic ของสารอาหารในแต่ละอันของอาหารเหล่านี้ (วิทยาศาสตร์สมัยใหม่มีการศึกษาและชื่อของมันประมาณ 141 เท่านั้น).

มะเดื่อเต็มไปด้วยเมล็ดและห้อยอยู่สองอันเมื่อมันเจริญเติบโต มะเดื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของสเปอร์มผู้ชายและเพิ่มจำนวนของสเปอร์จมและเอาชนะการเป็นหมันของผู้ชาย

มันหวาน ดูเหมือนตับอ่อน และทำให้ดัชนีโลหิตที่มีกลูโคสสมดุลที่ เกี่ยวกับเบาหวาน มะกอกช่วยสุขภาพและการทำงานของรังไข่ของสตรี

ส้ม ผลไม้จำพวกส้มและผลไม้จำพวกมะนาวอื่นๆ ดูเหมือนต่อมในร่างกายเกี่ยวกับทรวงอก ของเพศหญิงและช่วยสุขภาพของทรวงอกและการเคลื่อนไหวของต่อมน้ำเหลืองในและนอกทรวงอกจริงๆ

หัวหอมใหญ่ดูเหมือนเซลล์ของร่างกาย การวิจัยของทุกวันนี้แสดงว่าหัวหอมใหญ่ช่วยกำจัดสสารของเสียจากเซลล์ร่างกายทั้งหมด พวกมันทำให้เกิดน้ำตาที่ล้างชั้นเยื่อบุผิวของตา ทำงานร่วมกับ กระเทียมก็ช่วยกำจัดสสารของเสียและอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายจากร่างกาย

Monday, March 12, 2007

Baby Harp Seals




เรื่องนี้ดูผิวเผินอาจจะไกลตัวหลาย ๆ คนเพราะมันเกิดขึ้นที่แคนาดา ในทุก ๆ ปีช่วงฤดูหนาว จะมีการล่าแมวน้ำสีขาวเพื่อนำผิวหนังของพวกเขามาทำเป็นเสื้อผ้า เราเคยดูในวีดีโอคลิปแล้ว การฆ่าแมวน้ำเหล่านั้นเป็นไปอย่างทารุณและไร้มนุษยธรรมมาก แมวน้ำโดยปกติจะอยู่กันเป็นฝูงเป็นครอบครัว มีทั้งลูกเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ นักฆ่าแมวน้ำเขาจะใช้มีดอีโต้ยาว ๆ ฟันที่คอทีละตัว โดยที่แมวน้ำที่น่าสงสารเหล่านี้ ได้แต่ตะกุยตะกายหนีอย่างทุลักทุเล บางตัวก็ต้องดูพี่น้องโดนฟันคอเลือดกระเด็น ดูแล้วน่าเวทนายิ่งนัก ปีที่แล้วมีแมวน้ำถูกฆ่าด้วยวิธีนี้ถึง 33000 ตัว (เราว่าตัวเดียวก็มากพอแล้ว) ถ้าเพื่อนคนไหนคิดจะช่วยก็สามารถทำอย่างง่าย ๆ ได้โดยส่งอีเมล์ที่เขาทำแบบฟอร์มให้แล้ว (ใช้เวลาคลิก ๆ ไม่เกินสิบวินาที ที่http://getactive.peta.org/campaign/seal_hunt07?rk=A7332Zn1Ofi8W) ไปยังรัฐบาลแคนาดา เรียกร้องให้พวกเขาห้ามการทำสิ่งทารุณกรรมเช่นนี้ จักขอบคุณมั๊ก ๆ
เพื่อน ๆ สามารถอ่านเรื่องเกี่ยวกับ Baby Seal Hunt ได้ที่ www.stopthesealhunt.com