Saturday, September 27, 2008

ชาติก่อนและชาติปัจจุบันของสุกรตัวหนึ่ง

บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
ชาติก่อนและชาติปัจจุบันของสุกรตัวหนึ่ง
โดย ชิ เซียว ลาน บทคัดลอกจาก “Observe All, Thatch Hut Note”

มีพระชราท่านหนึ่ง ตอนที่ท่านเดินผ่านโรงฆ่าสัตว์ ท่านอดที่จะร้องไห้ไม่ได้ แล้วท่านก็พูดถึงอดีตชาติของท่าน

“มันเป็นเรื่องยาว อาตมาระลึกถึงอดีตชาติของอาตมาได้ ในชาติหนึ่ง อาตมาเป็นคนฆ่าสัตว์ และมีรายได้จากการฆ่าสัตว์ อาตมาเสียชีวิตตอนอายุสามสิบ จิตวิญญาณของอาตมาถูกยมทูตหลายองค์พาไปที่นรก ยมบาลได้ดุว่าอาตมาเนื่องจากกรรมหนักจากการฆ่าของอาตมา และนำจิตวิญญาณของอาตมาไปไว้ในกงล้อในนรก เพื่อชดใช้กรรม อาตมาอยู่ในภวังค์ และไม่รู้สึกตัว ราวกับว่าอาตมาเมาเหล้า หรืออยู่ในความฝัน อาตมารู้สึกแต่ว่า ศีรษะของอาตมาร้อนมากจนทนไม่ได้ ในเวลาต่อมา อาตมารู้สึกเย็นลงเล็กน้อย และพบว่าตัวเองอยู่ในร่างของสุกร และพบว่าตัวเองนั้นเกิดใหม่เป็นสุกร”

“ตอนที่อาตมาเกิดเป็นสุกร อาตมาร้องครางอย่างเด็กทารก อาตมาเห็นว่า ผู้คนมักจะนำเศษอาหารสกปรก มีกลิ่นเหม็นมาให้เสมอ อาตมารู้ว่าอาหารนั้นไม่สะอาด และพยายามที่จะไม่ทานอาหาร แต่อาตมาก็หิวจนทนไม่ได้ และอวัยวะภายในของอาตมาเจ็บปวดมาก ราวกับว่ามันถูกเผาไหม้ด้วยไฟ อาตมาไม่มีทางเลือกนอกจากทานอาหารสกปรกนั้นเพื่อรักษาชีวิตไว้ อาตมาเรียนภาษาสุกรอย่างช้า ๆ และสามารถพูดกับเพื่อนสุกรของอาตมาได้ ที่จริงแล้ว สุกรจำนวนมากมายสามารถระลึกได้ว่า พวกเขาเคยเป็นมนุษย์มาก่อน แค่ว่าตอนนี้ พวกเขาเกิดมาเป็นสุกร พูดภาษาที่ต่างไป และไม่สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ ตอนที่พวกเขากำลังจะถูกฆ่า พวกเขาทราบดีไม่มากก็น้อยว่าวันนั้นกำลังมาถึง พวกเขาจะโอดครวญอย่างเศร้าสร้อย และด้วยดวงตาเปียกปอน”


“การเป็นสุกร ร่างกายของพวกเรานั้นหนักมาก และเราเดินได้ไม่สะดวกนัก ในฤดูร้อนเรากลัวความร้อน และต้องแช่ตัวเองในโคลนเพื่อให้รู้สึกเย็นลง อย่างไรก็ดี สิ่งนี้เป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่เป็นจริงได้ไม่บ่อยนัก ขนของเรานั้นหยาบ และแข็ง และมีน้อย เราจึงกลัวความหนาวเย็นในฤดูหนาว การได้รู้ว่าสุนัขและแกะมีขนหนา เหมือนพรมบนร่างกาย เราคิดว่าพวกเขาเป็นสัตว์ที่ได้รับการปฏิบัติอย่างสวรรค์ ในเวลาที่ถูกฆ่า แม้ว่า เราจะรู้ว่า มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรายังดิ้นรน กระโดด และพยายามหนี จากนั้น คนฆ่าจะจับตัวเราไป พวกเขาเหยียบบนตัวเรา และมัดคอและขาทั้งสี่ของเราด้วยเชือก เชือกนั้นถูกมัดไว้อย่างแน่น จนมันสัมผัสกระดูกของเรา มันเจ็บปวดมากราวกับว่ากำลังถูกกรีดด้วยมีด พอเราถูกขนไปยังเรือ หรือรถเข็น สุกรทุกตัวจะถูกอัดแน่นไว้ด้วยกัน จนกระดูกของเราแทบหัก เลือดของเราไหลเวียนได้ไม่ดี และท้องของเราบวมราวกับว่ามันถูกผ่าออกมา บางครั้ง ผู้คนแบกสุกรหลายตัวพร้อมกันไว้บนเสาไม้ไผ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ็บปวดทรมานมาก จนเราหวังว่า เราตายเสียดีกว่า พอมาถึงโรงฆ่า เราถูกโยนลงบนพื้น และหัวใจและอวัยวะภายในของเราถูกเขย่าราวกับว่า มันจะระเบิดออก สุกรบางตัวตายเพราะความเจ็บปวดอันสุดแสนจะทนทรมาน บางครั้งสุกรถูกมัดไว้เป็นเวลาหลายวัน โดยมีมีด เขียงหั่น และหม้อน้ำร้อนขนาดใหญ่ วางอยู่ด้านขวา เมื่อนึกถึงว่า มันจะเจ็บปวดแค่ไหนตอนที่ถูกเฉือนด้วยมีด และถูกถอนขนด้วยน้ำร้อน เราไม่สามารถหยุดสั่นตัวเองได้ บางครั้ง เมื่อนึกดูว่า เราจะถูกชำแหละแยกชิ้นส่วนและกลายเป็นเครื่องปรุงในหม้อซุป เรารู้สึกหมดอาลัยในความสิ้นหวัง”

“พออาตมากำลังจะถูกนำไปฆ่า อาตมารู้สึกหวาดกลัว และเวียนศีรษะ ทันใดที่อาตมาถูกคนชำแหละจับตัวไป สี่ขาของอาตมาอ่อนแรง หัวใจสั่น และจิตวิญญาณของอาตมารู้สึกราวกับว่า มันบินออกจากกลางกระหม่อมของอาตมาไป ตอนที่อาตมาถูกวางลงบนเขียงชำแหละ อาตมาไม่สามารถเผชิญหน้ากับใบมีดสะท้อนแสงนั้นได้ อาตมาจึงแค่ปิดตา และรอให้เขาเฉือนคอของอาตมา คนฆ่าเฉือนคอของอาตมาก่อน และตะแคงใบมีดเพื่อให้เลือดของอาตมาไหลลงไปในหม้อ ความเจ็บปวดนั้นเกินกว่าที่จะบรรยาย! เนื่องจากอาตมาไม่ได้ตายในทันใด สิ่งเดียวที่อาตมาทำได้ก็คือกรีดร้องเสียงดัง หลังจากที่เลือดของอาตมาไหลออกไป คนฆ่าก็แทงไปที่หัวใจของอาตมา ซึ่งทำให้อาตมารู้สึกเจ็บจนถึงกระดูก และอาตมาไม่สามารถร้องตะโกนได้อีกต่อไป อาตมารู้สึกเข้าสู่ภวังค์อย่างช้า ๆ และรู้สึกราวกับว่า อาตมาเมาสุรา หรืออยู่ในความฝัน ซึ่งเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่อาตมาเกิด

“นานมากหลังจากนั้น อาตมามองไปที่ตัวเอง และพบว่า จิตวิญญาณของอาตมา กลับสู่นรกอีกครั้ง ยมบาลตัดสินให้อาตมาเกิดมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง หลังจากที่พบว่า อาตมาได้ทำความดีบางอย่างในชาติก่อน ในชาตินี้ พออาตมาเห็นสุกรที่กำลังจะถูกฆ่า และอยู่ในความทุกข์ตรม อาตมาก็นึกถึงความจริงที่ว่า คนที่กำลังฆ่าสุกรพวกนั้น จะผจญกับชาตาชีวิตเดียวกันในอนาคต แล้วอาตมาก็คิดถึงตัวเอง อาตมาร้องไห้อย่างควบคุมไม่ได้”

หลังจากที่พระท่านเล่าเรื่องนี้ของท่านให้กับนักฆ่า เขาก็วางมีดลงบนพื้นในทันใด และเปลี่ยนอาชีพไปขายผัก

No comments: